วิธีเล่นเสือมังกร เสียยังไงให้ได้คืน
Posted: Sat Apr 29, 2023 4:37 am
สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบเล่นไพ่ที่ใช้ความคิดเยอะ หรือว่ามีกฎมากอย่างพวก บาคาร่า, แบล็คแจ๊ค หรือว่า โป๊กเกอร์ ไพ่เสือมังกรน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ควรลอง แต่ว่าไพ่นี้มันใช้เวลาน้อยในการเล่นแต่ละตา เลยมีหลายคนบอกว่ามันทำให้เสียเงินเร็วด้วย เดี๋ยววันนี้จะไปดูกันครับว่าวิธีเล่นเสือมังกรนั้น จะทำอย่างไรถึงจะได้เงินที่เสียไปคืนมา แล้วมันใช้ได้ผลจริงไหม เราไปดูกันเลยครับ
เสือมังกร ไพ่พี่ไพ่น้องของ บาคาร่า
ไพ่เสือมังกรมักจะถูกเข้าใจผิดจากนักเดิมพันมือใหม่อยู่เสมอว่ามันคือไพ่บาคาร่า เพราะว่ามีรูปแบบการเล่นที่คล้ายกันคือมีการแจกไพ่ให้ทั้งสองฝั่ง มีการนับแต้ม มีการแทงเสมอ นอกจากนี้ยังมีอัตราจ่ายที่เท่ากันอีกด้วย
แต่สิ่งที่ไพ่เสือมังกรแตกต่างจากบาคาร่าก็คือ จำนวนไพ่ที่ใช้น้อยกว่า เสือมังกร จะใช้ไพ่แค่ใบเดียวในการตัดสินผลแพ้ชนะ การวางเดิมพันก็มีแค่ 3 ฝั่งคือ เสือ (Tiger) มังกร (Dragon) และ เสมอ (Tie) ซึ่งไพ่นี้เรามีโอกาสแพ้ชนะอยู่ที่ 50 : 50 จึงทำให้เป็นไพ่ที่นิยมเล่นกันมากชนิดที่ว่ามีบาคาร่าที่ไหนต้องมีเสือมังกรที่นั่นเลยทีเดียว
ทำไมต้องเล่น เสือมังกร
ใครที่ไม่ชอบเกมพนันที่ใช้เวลาเล่นนาน ๆ หรือว่ามีเวลาเล่นน้อย เสือมังกร เป็นไพ่ที่เหมาะมาก ๆ แล้ว เพราะเล่นง่ายคล้ายกับบาคาร่า แถมยังใช้เวลาน้อยกว่า แค่วางเดิมพันว่าฝั่งไหนจะชนะก็พอ อัตราแพ้ชนะก็มากถึง 50 : 50 อัตราจ่ายก็ให้สูงถึง 8 เท่า เรียกได้ว่าเป็นไพ่ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก และยังให้กำไรสูงอีกต่างหาก
จะว่าไปแล้วเสือมังกรก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกันคือ ถ้าเล่นเสียเงินเราจะหมดไวมากเพราะแต่ละเกมส์ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที รูปแบบการวางเดิมพันก็ไม่ค่อยหลากหลาย ส่วนใหญ่มีแค่ 3 แบบ สูงสุดก็ 5 แบบที่หาเล่นได้เฉพาะบางเว็บเท่านั้น งานนี้ใครทุนน้อยหรือขี้เบื่อ อาจต้องขอผ่านกันไปก่อน
กติกา เสือมังกร
วิธีเล่นเสือมังกรนั้นไม่ยากเลย ทันทีที่เริ่มเกมส์เราจะมีเวลาประมาณ 15-40 วินาทีสำหรับการวางเดิมพัน โดยทายว่าฝั่งไหนจะชนะระหว่าง เสือ กับ มังกร หรือว่าผลจะออกมาเป็นเสมอ เมื่อหมดเวลาวางเดิมพันแล้ว ดีลเลอร์จะทำการแจกไพ่ให้ฝั่งละ 1 ใบ ก่อนจะหงายไพ่ขึ้นมาเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ
การนับแต้ม เสือมังกร
วิธีการนับแต้มไพ่เสือมังกรจะต่างจากบาคาร่าคือ ไพ่ทุกใบจะมีแต้มแตกต่างกันไป และดอกไพ่จะไม่ส่งผลถึงขนาดไพ่ สำหรับแต้มไพ่จะเริ่มนับจาก
ไพ่ A มีอยู่ 1 แต้ม
ไพ่หน้าตัวเลข 2 – 10 มีแต้มตามหมายเลข
ไพ่ J มีอยู่ 11 แต้ม
ไพ่ Q มีอยู่ 12 แต้ม
ไพ่ K มีอยู่ 13 แต้ม
เสือมังกร จ่ายยังไง
อัตราจ่ายของเสือมังกรนั้นจะแตกต่างกันไปตามฝั่งที่เราวางเดิมพันดังนี้
หากวางเดิมพันฝั่งเสือ แล้วเสือชนะ อัตราจ่ายคือ 1 : 1 ไม่รวมทุน
หากวางเดิมพันฝั่งมังกร แล้วมังกรชนะ อัตราจ่ายคือ 1 : 1 ไม่รวมทุนเหมือนกัน
หากวางเดิมพันฝั่งเสมอ แล้วทั้งสองฝั่งมีแต้มเท่ากัน อัตราจ่ายคือ 1 : 8 ไม่รวมทุน
หากวางเดิมพันเสือ หรือ มังกร แล้วผลออกมาเป็นเสมอ เสียเดิมพันครึ่งหนึ่ง
สูตรเดินเงิน เสือมังกร จำเป็นหรือไม่
แม้ว่าเสือมังกรจะมีโอกาสชนะมากถึง 50% แต่อัตราจ่ายก็ถือว่าต่ำมาก เพียงแค่ 1 เท่าของทุนเท่านั้น และการเพิ่มทุนเข้าไปในการเล่น ก็เหมือนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเองด้วยเหมือนกัน สิ่งเดียวที่จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้ก็คือการใช้สูตรเดินเงินที่เรากำลังจะพูดถึง
ใครที่มีพื้นฐานบาคาร่ามาคงรู้ดีว่าสูตรเดินเงินนั้นสำคัญมาก มันไม่ได้แค่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรเท่านั้น แต่มันยังช่วยแก้สถานการณ์เวลาที่เราแพ้ให้กลับมาชนะได้ หรือดึงเงินที่เสียไปกลับคืนมา พร้อมกับกำไร สูตรเดินเงินที่ขึ้นชื่อก็มี Martingale, Super Martingale, Winning Martingale, สูตรเดินเงิน 1324, ลาบูเซอร์ และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละสูตรนั้นสามารถเอามาใช้กับการเล่นเสือมังกรได้โดยไม่ต้องปรับอะไรเลย
แต่ว่าวันนี้ผมจะพาไปรู้จักกับสูตรเดินเงินขึ้นชื่ออย่าง Martingale หรือสูตรแทงทบ ที่หลายคนต่างยกให้ว่ามันคือสูตรที่ดีที่สุดสำหรับการถอนทุนคืนมา ตราบใดที่ไม่ซวยขั้นสุดก็ไม่มีใครหยุดสูตรนี้ได้ เดี๋ยวเราจะไปดูกันครับว่าสูตรนี้เขาใช้กันยังไง มันได้ผลจริงไหม หรือว่ามันเป็นแค่สูตรขายฝันกันแน่
สูตรเดินเงิน Martingale
สูตรนี้การันตีโดยนักเดิมพันทั่วโลกเลยครับว่ามันให้กำไรได้ชัวร์ ดึงเงินที่เสียไปได้จริง วิธีการใช้ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เพิ่มเงินเดิมพันเป็น 2 เท่าทุกครั้งที่เสีย และถ้าชนะเราก็จะได้รับเงินที่เสียไปกลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์พร้อมกับกำไรอีก 1 หน่วย เงื่อนไขเดียวที่ต้องมีก็คือทุนเราต้องหนาจริง ๆ ถึงจะใช้สูตรนี้ได้ ไม่อย่างนั้นอาจมีขาดทุนกลางทางแน่
แต่ก่อนที่จะใช้สูตรเดินเงินไม่ว่าจะเป็นสูตรไหน ให้เราเอาเงินทุนที่มีมาแบ่งเป็นหน่วยลงทุนเสียก่อน แนะนำว่าควรให้ 1 หน่วยมีค่าเท่ากับเดิมพันขั้นต่ำของโต๊ะ ยกตัวอย่างเช่นเราจะเล่นโต๊ะที่มีขั้นต่ำ 10 บาท ตอนนี้เรามีทุน 1,000 บาท เราก็จะได้หน่วยลงทุนทั้งหมด 100 หน่วย
ถามว่าให้หนึ่งหน่วยมีค่ามากกว่านี้ได้ไหม ก็ได้ครับ แต่มันจะมีปัญหาตรงที่ว่าเวลาเราแทงทบไปเรื่อย ๆ มันจะชนเพดาน สมมติว่าเราตั้งไว้หน่วยละ 200 บาท โต๊ะกำหนดให้สูงสุดวางได้ไม่เกิน 1,000 บาท สเต็ปวางเดิมพันเวลาที่เสียก็คือ 200, 400, 800, 1,600, 3,200 จะเห็นได้ว่าเราทบสูงสุดได้แค่ 3 รอบ หากรอบที่ 3 ยังไม่ชนะเราก็ทบอีกไม่ได้เพราะเกินเพดานเดิมพันที่กำหนดไว้ และยังทำให้เราขาดทุนไปโดยปริยายอีก นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงแนะนำให้ใช้ขั้นต่ำของโต๊ะเป็นตัวกำหนดขนาดหน่วยลงทุน
เมื่อแบ่งหน่วยลงทุนเรียบร้อยแล้ว เราจะใช้สูตร Martingale ในการเล่น สมมติว่าใช้สูตร 5 ไม้ หรือเดิมพัน 5 รอบ จะได้ดังนี้
รอบที่ 1 วางเดิมพัน 1 หน่วย ถ้าแพ้ให้เล่นรอบที่ 2 ถ้าชนะถือว่าจบรอบสูตร
รอบที่ 2 วางเดิมพัน 2 หน่วย ถ้าแพ้อีกให้เล่นรอบที่ 3 ถ้าชนะก็ถือว่าจบ
รอบที่ 3 วางเดิมพัน 4 หน่วย ถ้าแพ้ไม่เลิก ก็ให้เล่นรอบที่ 4 ถ้าชนะก็จบเหมือนเดิม
รอบที่ 4 วางเดิมพัน 8 หน่วย ดวงไม่ดี แพ้อีก ให้เล่นรอบที่ 5 ถ้าชนะถือว่าจบ
รอบที่ 5 วางเดิมพัน 16 หน่วย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ถือว่าจบสูตร
จะเห็นได้ว่า Martingale นั้นเป้าหมายสำคัญของมันคือการดึงเงินที่เสียไปกลับคืนมา ดังนั้นไม่ว่าจะชนะตาไหนก็ถือว่าสูตรทำงานสำเร็จแล้ว แต่ถ้าเล่นถึงตาที่ 5 แล้วยังไม่ชนะ ไม่ใช่แค่ให้จบสูตรเท่านั้น แต่ควรจะหยุดเล่นก่อน ไปพักสักนิดแล้วมาต่อใหม่ และควรไปต่อที่โต๊ะใหม่ด้วย
ใครที่สงสัยว่าถ้าเล่นตาที่ 5 แล้วยังแพ้จะต่อรอบที่ 6, 7, 8 ได้ไหม ก็ต่อได้ครับ สูตรนี้ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรเลย เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้ทบจนเกินเพดานเท่านั้นก็พอ แต่ต้องถามตัวเองด้วยว่าเงินทุนที่วางลงไปมันคุ้มไหมที่จะเสี่ยง กล้าพอไหมที่จะเอาเงินก้อนใหญ่ไปแลกกำไรแค่หน่วยเดียว ความจริงแล้วสูตรนี้ยิ่งทบน้อยรอบยิ่งดี จะเหลือสักสองสามรอบก็ไม่มีใครว่า เราจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าทบหลาย ๆ รอบ
ที่มา : https://www.ssgames350.org/%e0%b8%a7%e0 ... %e0%b8%a2/
เสือมังกร ไพ่พี่ไพ่น้องของ บาคาร่า
ไพ่เสือมังกรมักจะถูกเข้าใจผิดจากนักเดิมพันมือใหม่อยู่เสมอว่ามันคือไพ่บาคาร่า เพราะว่ามีรูปแบบการเล่นที่คล้ายกันคือมีการแจกไพ่ให้ทั้งสองฝั่ง มีการนับแต้ม มีการแทงเสมอ นอกจากนี้ยังมีอัตราจ่ายที่เท่ากันอีกด้วย
แต่สิ่งที่ไพ่เสือมังกรแตกต่างจากบาคาร่าก็คือ จำนวนไพ่ที่ใช้น้อยกว่า เสือมังกร จะใช้ไพ่แค่ใบเดียวในการตัดสินผลแพ้ชนะ การวางเดิมพันก็มีแค่ 3 ฝั่งคือ เสือ (Tiger) มังกร (Dragon) และ เสมอ (Tie) ซึ่งไพ่นี้เรามีโอกาสแพ้ชนะอยู่ที่ 50 : 50 จึงทำให้เป็นไพ่ที่นิยมเล่นกันมากชนิดที่ว่ามีบาคาร่าที่ไหนต้องมีเสือมังกรที่นั่นเลยทีเดียว
ทำไมต้องเล่น เสือมังกร
ใครที่ไม่ชอบเกมพนันที่ใช้เวลาเล่นนาน ๆ หรือว่ามีเวลาเล่นน้อย เสือมังกร เป็นไพ่ที่เหมาะมาก ๆ แล้ว เพราะเล่นง่ายคล้ายกับบาคาร่า แถมยังใช้เวลาน้อยกว่า แค่วางเดิมพันว่าฝั่งไหนจะชนะก็พอ อัตราแพ้ชนะก็มากถึง 50 : 50 อัตราจ่ายก็ให้สูงถึง 8 เท่า เรียกได้ว่าเป็นไพ่ที่มีความเสี่ยงต่ำมาก และยังให้กำไรสูงอีกต่างหาก
จะว่าไปแล้วเสือมังกรก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกันคือ ถ้าเล่นเสียเงินเราจะหมดไวมากเพราะแต่ละเกมส์ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที รูปแบบการวางเดิมพันก็ไม่ค่อยหลากหลาย ส่วนใหญ่มีแค่ 3 แบบ สูงสุดก็ 5 แบบที่หาเล่นได้เฉพาะบางเว็บเท่านั้น งานนี้ใครทุนน้อยหรือขี้เบื่อ อาจต้องขอผ่านกันไปก่อน
กติกา เสือมังกร
วิธีเล่นเสือมังกรนั้นไม่ยากเลย ทันทีที่เริ่มเกมส์เราจะมีเวลาประมาณ 15-40 วินาทีสำหรับการวางเดิมพัน โดยทายว่าฝั่งไหนจะชนะระหว่าง เสือ กับ มังกร หรือว่าผลจะออกมาเป็นเสมอ เมื่อหมดเวลาวางเดิมพันแล้ว ดีลเลอร์จะทำการแจกไพ่ให้ฝั่งละ 1 ใบ ก่อนจะหงายไพ่ขึ้นมาเพื่อตัดสินผลแพ้ชนะ
การนับแต้ม เสือมังกร
วิธีการนับแต้มไพ่เสือมังกรจะต่างจากบาคาร่าคือ ไพ่ทุกใบจะมีแต้มแตกต่างกันไป และดอกไพ่จะไม่ส่งผลถึงขนาดไพ่ สำหรับแต้มไพ่จะเริ่มนับจาก
ไพ่ A มีอยู่ 1 แต้ม
ไพ่หน้าตัวเลข 2 – 10 มีแต้มตามหมายเลข
ไพ่ J มีอยู่ 11 แต้ม
ไพ่ Q มีอยู่ 12 แต้ม
ไพ่ K มีอยู่ 13 แต้ม
เสือมังกร จ่ายยังไง
อัตราจ่ายของเสือมังกรนั้นจะแตกต่างกันไปตามฝั่งที่เราวางเดิมพันดังนี้
หากวางเดิมพันฝั่งเสือ แล้วเสือชนะ อัตราจ่ายคือ 1 : 1 ไม่รวมทุน
หากวางเดิมพันฝั่งมังกร แล้วมังกรชนะ อัตราจ่ายคือ 1 : 1 ไม่รวมทุนเหมือนกัน
หากวางเดิมพันฝั่งเสมอ แล้วทั้งสองฝั่งมีแต้มเท่ากัน อัตราจ่ายคือ 1 : 8 ไม่รวมทุน
หากวางเดิมพันเสือ หรือ มังกร แล้วผลออกมาเป็นเสมอ เสียเดิมพันครึ่งหนึ่ง
สูตรเดินเงิน เสือมังกร จำเป็นหรือไม่
แม้ว่าเสือมังกรจะมีโอกาสชนะมากถึง 50% แต่อัตราจ่ายก็ถือว่าต่ำมาก เพียงแค่ 1 เท่าของทุนเท่านั้น และการเพิ่มทุนเข้าไปในการเล่น ก็เหมือนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเองด้วยเหมือนกัน สิ่งเดียวที่จะช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้ก็คือการใช้สูตรเดินเงินที่เรากำลังจะพูดถึง
ใครที่มีพื้นฐานบาคาร่ามาคงรู้ดีว่าสูตรเดินเงินนั้นสำคัญมาก มันไม่ได้แค่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรเท่านั้น แต่มันยังช่วยแก้สถานการณ์เวลาที่เราแพ้ให้กลับมาชนะได้ หรือดึงเงินที่เสียไปกลับคืนมา พร้อมกับกำไร สูตรเดินเงินที่ขึ้นชื่อก็มี Martingale, Super Martingale, Winning Martingale, สูตรเดินเงิน 1324, ลาบูเซอร์ และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละสูตรนั้นสามารถเอามาใช้กับการเล่นเสือมังกรได้โดยไม่ต้องปรับอะไรเลย
แต่ว่าวันนี้ผมจะพาไปรู้จักกับสูตรเดินเงินขึ้นชื่ออย่าง Martingale หรือสูตรแทงทบ ที่หลายคนต่างยกให้ว่ามันคือสูตรที่ดีที่สุดสำหรับการถอนทุนคืนมา ตราบใดที่ไม่ซวยขั้นสุดก็ไม่มีใครหยุดสูตรนี้ได้ เดี๋ยวเราจะไปดูกันครับว่าสูตรนี้เขาใช้กันยังไง มันได้ผลจริงไหม หรือว่ามันเป็นแค่สูตรขายฝันกันแน่
สูตรเดินเงิน Martingale
สูตรนี้การันตีโดยนักเดิมพันทั่วโลกเลยครับว่ามันให้กำไรได้ชัวร์ ดึงเงินที่เสียไปได้จริง วิธีการใช้ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เพิ่มเงินเดิมพันเป็น 2 เท่าทุกครั้งที่เสีย และถ้าชนะเราก็จะได้รับเงินที่เสียไปกลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์พร้อมกับกำไรอีก 1 หน่วย เงื่อนไขเดียวที่ต้องมีก็คือทุนเราต้องหนาจริง ๆ ถึงจะใช้สูตรนี้ได้ ไม่อย่างนั้นอาจมีขาดทุนกลางทางแน่
แต่ก่อนที่จะใช้สูตรเดินเงินไม่ว่าจะเป็นสูตรไหน ให้เราเอาเงินทุนที่มีมาแบ่งเป็นหน่วยลงทุนเสียก่อน แนะนำว่าควรให้ 1 หน่วยมีค่าเท่ากับเดิมพันขั้นต่ำของโต๊ะ ยกตัวอย่างเช่นเราจะเล่นโต๊ะที่มีขั้นต่ำ 10 บาท ตอนนี้เรามีทุน 1,000 บาท เราก็จะได้หน่วยลงทุนทั้งหมด 100 หน่วย
ถามว่าให้หนึ่งหน่วยมีค่ามากกว่านี้ได้ไหม ก็ได้ครับ แต่มันจะมีปัญหาตรงที่ว่าเวลาเราแทงทบไปเรื่อย ๆ มันจะชนเพดาน สมมติว่าเราตั้งไว้หน่วยละ 200 บาท โต๊ะกำหนดให้สูงสุดวางได้ไม่เกิน 1,000 บาท สเต็ปวางเดิมพันเวลาที่เสียก็คือ 200, 400, 800, 1,600, 3,200 จะเห็นได้ว่าเราทบสูงสุดได้แค่ 3 รอบ หากรอบที่ 3 ยังไม่ชนะเราก็ทบอีกไม่ได้เพราะเกินเพดานเดิมพันที่กำหนดไว้ และยังทำให้เราขาดทุนไปโดยปริยายอีก นี่คือเหตุผลว่าทำไมผมถึงแนะนำให้ใช้ขั้นต่ำของโต๊ะเป็นตัวกำหนดขนาดหน่วยลงทุน
เมื่อแบ่งหน่วยลงทุนเรียบร้อยแล้ว เราจะใช้สูตร Martingale ในการเล่น สมมติว่าใช้สูตร 5 ไม้ หรือเดิมพัน 5 รอบ จะได้ดังนี้
รอบที่ 1 วางเดิมพัน 1 หน่วย ถ้าแพ้ให้เล่นรอบที่ 2 ถ้าชนะถือว่าจบรอบสูตร
รอบที่ 2 วางเดิมพัน 2 หน่วย ถ้าแพ้อีกให้เล่นรอบที่ 3 ถ้าชนะก็ถือว่าจบ
รอบที่ 3 วางเดิมพัน 4 หน่วย ถ้าแพ้ไม่เลิก ก็ให้เล่นรอบที่ 4 ถ้าชนะก็จบเหมือนเดิม
รอบที่ 4 วางเดิมพัน 8 หน่วย ดวงไม่ดี แพ้อีก ให้เล่นรอบที่ 5 ถ้าชนะถือว่าจบ
รอบที่ 5 วางเดิมพัน 16 หน่วย ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ถือว่าจบสูตร
จะเห็นได้ว่า Martingale นั้นเป้าหมายสำคัญของมันคือการดึงเงินที่เสียไปกลับคืนมา ดังนั้นไม่ว่าจะชนะตาไหนก็ถือว่าสูตรทำงานสำเร็จแล้ว แต่ถ้าเล่นถึงตาที่ 5 แล้วยังไม่ชนะ ไม่ใช่แค่ให้จบสูตรเท่านั้น แต่ควรจะหยุดเล่นก่อน ไปพักสักนิดแล้วมาต่อใหม่ และควรไปต่อที่โต๊ะใหม่ด้วย
ใครที่สงสัยว่าถ้าเล่นตาที่ 5 แล้วยังแพ้จะต่อรอบที่ 6, 7, 8 ได้ไหม ก็ต่อได้ครับ สูตรนี้ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีข้อจำกัดอะไรเลย เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้ทบจนเกินเพดานเท่านั้นก็พอ แต่ต้องถามตัวเองด้วยว่าเงินทุนที่วางลงไปมันคุ้มไหมที่จะเสี่ยง กล้าพอไหมที่จะเอาเงินก้อนใหญ่ไปแลกกำไรแค่หน่วยเดียว ความจริงแล้วสูตรนี้ยิ่งทบน้อยรอบยิ่งดี จะเหลือสักสองสามรอบก็ไม่มีใครว่า เราจะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าทบหลาย ๆ รอบ
ที่มา : https://www.ssgames350.org/%e0%b8%a7%e0 ... %e0%b8%a2/